ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์
หมายถึง
• เครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง
ที่มีการทำงานแบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล
• สามารถแก้ปัญหาต่าง
ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อนตามคำสั่งของโปรแกรม
• ขั้นตอนการทำงานจะประกอบด้วย
การรับโปรแกรมและข้อมูลในรูปแบบที่เครื่องสามารถรับได้ และทำการประมวลผล
โดยทำการเปรียบเทียบจนกระทั่งได้ผลลัพธ์
จากนั้นนำผลลัพธ์ที่ได้ไปแสดงผลที่อุปกรณ์แสดงผล เช่น จอภาพหรือเครื่องพิมพ์
เป็นต้น
ประวัติความเป็นมา
คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว
เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปี
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
v เริ่มจาก
พ.ศ. 2488-2501
v ใช้อุปกรณ์
หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก
ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง
v ทำงานด้วยภาษาเครื่อง
(Machine Language) เท่านั้น
v เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์
(Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
v เริ่มจาก
พ.ศ. 2502-2506
v ใช้ ”ทรานซอสเตอร์” เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์แทนหลอดสุญญากาศ
v ใช้วงแหวนเป็นหน่วยความจำ
v สามารถทำงานได้ทันทีไม่ต้องรอให้หลอดค่อยๆทำงาน
v ใช้กระแสไฟฟ้าน้อยกว่า
แม่นยำกว่า
v สั่งงานได้สะดวกมากขึ้น
เนื่องจากทำงานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language)
v เริ่มพัฒนาภาษาระดับสูง
(High Level Language) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
v เริ่มจาก
พ.ศ. 2507-2512
v เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้อุปกรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือ ไอซี โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมาย
v ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง
ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS) (สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่
1 ประมาณ 1,000 เท่า)
v ทำงานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป
v ในยุคนี้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
v เริ่มจาก
พ.ศ. 2513-2532
v เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very
Large Scale Integration : VLSI)
v โดยรวมวงจรไอซีจำนวนมากลงไปในแผ่นซิลิกอน
v ชิป
1แผ่นสามารถบรรจุได้มากกว่าล้านวงจร โดยบรรจุการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่า “ซีพียู” ลงไปในชิปตัวเดียวหรือที่เรียกว่า “ไมโครโปรเซสเซอร์”
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5
v เริ่มจาก
พ.ศ. 2533-ปัจจุบัน
v ไมโครคอมพิวเตอร์มีความสามารถมากขึ้น
ทำงานได้รวดเร็ว การแสดงผล การจัดเก็บข้อมูล สามารถประมวลผลได้ทีละมากๆ
ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้หลายงานพร้อมๆกัน(Multitasking)
v เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น
v คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์
(Artificial Intelligence : AI)
ประเภทของคอมพิวเตอร์
ประเภทคอมพิวเตอร์แบ่งตามระดับความสามารถประกอบด้วย
1.ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
2.เมนเฟรมคอมพิวเตอร์
3.มินิคอมพิวเตอร์
4.เวิร์กสเตชั่น
5.ไมโครคอมพิวเตอร์
1.ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
(Supercomputer)
• มีความสามารถสูงสุด
มีขนาดใหญ่ ทำงานรวดเร็วที่สุดในโลก
• สามารถประมวลผลข้อมูลในปริณมาณมาก
• สามารถประมวลผลงานที่มีรูปแบบซับซ้อน
มีความเร็วในการคำนวณได้มากกว่า หนึ่งล้านล้านคำสั่งต่อวินาที
• หน่วยวัดความเร็วของซูปเปอร์คอมพิวเตอร์
เรียกว่า กิกะฟลอป (Gigaflop)
• ใช้ในงานพยากรณ์อากาศ
งานทางวิศวกรรม งานด้านวิทยาศาตร์ งานการวิจัยนิวเคลียร์
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์
(Mainfram Computer)
• ความสามารถรองจากซูปเปอร์คอมพิวเตอร์
• ใช้งานกับธุรกิจขนาดใหญ่
เช่น บริษัทประกันภัย ธุรกิจธนาคาร งานด้านสายการบิน ระบบจองตั๋วเครื่องบิน
การจัดเก็บภาษี
ข้อเด่น ของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง
และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก
ตัวอย่าง บริษัท IBM มีแอปพลิเคชั่นทำงานมากกว่า
1000 โปรแกรม เมนเฟรมจะนำไปใช้งานเป็นเครื่องศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น
3. มินิคอมพิวเตอร์
(Minicomputer)
• เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรขนาดกลาง
และขนาดเล็กเหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กไปถึงขนาดกลาง
• ความสามารถอยู่ระหว่างเมนเฟรมคอมพิวเตอร์และไมโครคอมพิวเตอร์
• เป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานได้พร้อม
ๆ กันหลายคน จึงมีเครื่องปลายทางที่เชื่อมต่อกัน
• นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง
จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน
4. เวิร์กสเตชั่น
(Workstation)
• เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ความสามารถอยู่ระหว่างความสามารถของมินิคอมพิวเตอร์และไมโครคอมพิวเตอร์
• มีความเร็ว
ประสิทธิภาพ และราคาสูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ PC โดยทั่วไป
• มีจุดเด่นสำหรับงานกราฟฟิก
สร้างรูปภาพ และภาพเคลื่อนไหว
• สามารถใช้เพื่อเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้
• สำหรับงานออกแบบวงจรอิเล็กทรอนิกส์
งานควบคุมเครื่องจักร งานจำลองและคำนวณทางวิทยาศาสตร์ ฯ
5. ไมโครคอมพิวเตอร์(Microcomputer)
• เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
ราคาถูกสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal
Computer หรือ PC)
• พีซีทั่วไปจะมีระบบปฎิบัติการ
พร้อมโปรแกรมใช้งานทางด้านเอกสาร ท่องเว็บ อีเมล ดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น
• เราสามารถแบ่งคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ได้ดังนี้
- คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Computer) เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
ราคาถูกสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal
Computer หรือ PC)
- โน๊ตบุ๊คคอมพิวเตอร์ (Notebook Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก
มี น้ำหนักเบาประมาณ 2-4 กิโลกรัม และบางกว่าแบบตั้งโต๊ะ
สามารถพกพาไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้สะดวก
- เน็ตบุ๊คคอมพวเตอร์ (Netbook)
เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องพีซีและโน๊ตบุค
โดยออกแบบให้สามารถนำติดตัวไปใช้งานตามที่ต่างๆได้ดี เพราะมีขนาดเล็ก
และน้ำหนักเบา
- แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์(Tablet
Computer)
• เป็นคอมพิวเตอร์ที่สามารถใช้งานในขณะเคลื่อนที่ได้
• รวมการทำงานทุกอย่างไว้ที่จอสัมผัสโดยใช้ปากกา
หรือปลายนิ้ว เป็นอุปกรณ์อินพุตพื้นฐาน เทนการใช้คีย์บอร์ดและเมาส์
การนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้กับงานด้านต่างๆ
• คอมพิวเตอร์กับงานด้านสถานีอวกาศ
• คอมพิวเตอร์กับงานด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์
• คอมพิวเตอร์กับงานด้านธุรกิจทั่วไป
• คอมพิวเตอร์กับงานด้านการศึกษาและการวิจัย
• คอมพิวเตอร์กับงานด้านออกแบบทางวิศวกรรม
• คอมพิวเตอร์กับงานด้านอุตสาหกรรมและหุ่นยนต์
• คอมพิวเตอร์กับงานด้านเก็บประวัติอาชญากรรม
• คอมพิวเตอร์กับงานด้านบันเทิง
http://nstrucom01.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น